ตั้งแต่รู้ข่าวการสูญเสียของนักแสดง คุณปอ ทฤษฎี สหวงษ์ แม่ก้อยรู้สึกสะเทือนใจมาก หดหู่ อ่านข่าวสารตามสื่อต่างๆ ก็น้ำตาไหล ทั้งๆที่แม่ก้อยไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันมาก่อนเลยกับคุณปอ นอกจากเคยดูละครในบางเรื่องที่คุณปอแสดง และด้วยความบังเอิญที่เคยเจอคุณปอบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าพารากอน เมื่อหลายปีที่ผ่านมา แม่ก้อยก็ไม่ได้ประทับใจอะไรนอกจากแอบคิด และพูดให้ใครหลายๆคนฟังว่า ตัวจริงหล่อกว่าในทีวีอยู่มากทีเดียว
แม่ก้อยเห็นลูกสาวที่น่ารักอย่างน้องมะลิ และภรรยาคนสวยคุณโบว์ ที่นับวันมีแต่จะผอมลงๆ น้ำตามันรื้นขึ้นมาทุกครั้ง ในฐานะคนเป็นแม่ที่มีลูกในวัยใกล้เคียงกัน มันยิ่งเหมือนมีพลัง และความกดดันบางอย่างที่ยิ่งทำให้แม่ก้อยรู้สึกสะเทือนใจเกินกว่าฐานะของชาวบ้านคนหนึ่งที่ได้รู้จักนักแสดงที่เป็นพระเอกหนัง แล้วเสียชีวิตก่อนวัยอันควร จนอดไม่ได้ที่ต้องนำมาเขียนลงในคอลัมน์นี้
แม่ก้อยเรียนรู้ และรู้จักรสชาติของการสูญเสียคนที่รักในครอบครัวได้เป็นอย่างดี ภาพของการรักษา และความทรมานทางกายของคนที่เรารักจากการพยายามช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถของทีมแพทย์ มันบีบหัวใจ และความรู้สึกของคนที่อยู่ในสถานะสมาชิกในครอบครัวได้เกินกว่าจะเขียนบรรยายออกมาเป็นความรู้สึกได้
ส่วนตัวแล้วแม่ก้อยคิดว่าถ้าที่สุดของการเกิดมาในชาติภพนี้มีอยู่เพียงแค่ชั่วเวลานี้เท่านั้น มันก็ควรจะเป็นที่สุดของชาติภพนี้แล้ว ปล่อยทุกอย่างให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ คืนสู่วัฏสงสาร คนที่อยู่ต่ออย่างแม่ก้อยได้บทเรียนว่าเวลาที่เหลืออยู่นี้ คือเวลาของการสะสมความดี สร้างความดี ให้กับตนเอง และหากมีช่องทางหรือความสามารถอันใดที่ส่งต่อไปยังผู้อื่น หรือสิ่งอื่นใดได้ โปรดรีบลงมือทำเพราะช่วงเวลาที่เหลือของคนเรามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าตอนนี้เราอายุมาก หรือน้อย ป่วย หรือแข็งแรง แต่แม่ก้อยคิดว่ามันอยู่ที่กฎแห่งกรรมที่ได้กำหนดมาแล้วต่างหาก
การเกิดมาเป็นมนุษย์ถือว่าเป็นโชคอันมหาศาล เพราะมนุษย์สามารถสร้าง สมบุญบารมีเพิ่มขึ้นได้ ณ วันนี้ วินาทีนี้เราสามารถสร้างกุศลกรรมได้ให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่การเกิดเป็นเทวดา หรือนางฟ้าบนภพภูมิที่สูงนั้น คือการได้ใช้บุญกุศล บารมีที่สั่งสมมาแต่ไม่สามารถสร้างเพิ่มใหม่ได้อีก เมื่อหมดในบุญบารมีนั้นแล้ว ก็ต้องไปสู่ภพภูมิอื่นต่อไป ตอนนี้โอกาสอยู่ในมือของทุกคนแล้วนะคะ